|
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (Brown Planthopper) |
|
เผยแพร่ : วันที่ 25 มกราคม 2559 |
|
ชื่อวิทยาศาสตร์ |
: Nilaparvata lugens |
|
|
วงศ์ |
: Delphacidae
|
อันดับ |
: Homoptera |
|
รูปร่างลักษณะ |
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแมลงปากดูด ตัวเต็มวัยมีขนาดยาวประมาณ 3 มม. กว้าง 1 มม.ลำตัวมีสีน้ำตาลจนถึงสีน้ำตาล
ปนดำ มีรูปร่าง 2 ลักษณะ คือ ชนิดปีกยาว (macropterous form) และชนิดปีกสั้น (brachyterous form) ตัวเมียมีขนาดโตกว่าตัวผู้
ตัวเมียชนิดปีกยาวสามารถวางไข่ได้ 100 ฟอง ตัวเมียปีกชนิดสั้นสามารถวางไข่ได้ 300 ฟอง ในช่วงชีวิต 2 สัปดาห์ ของการเป็นตัวเต็ม
โดยวางไข่เป็นกลุ่มเรียงแถวที่เส้นกลางใบหรือกาบใบ กลุ่มละประมาณ 8-10 ฟอง ซึ่งมองเห็นเป็นรอยช้ำสีน้ำตาลตรงบริเวณที่วางไข่
ดังกล่าวนั้น ไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนภายใน 7 - 9 วัน ตัวอ่อนลอกคราบ 5 ครั้ง ภายในระยะเวลา 13 - 17 วัน เพื่อเป็นตัวเต็มวัย ตัวเมียมี
ตัวเมียมีอายุเฉลี่ย 15 วัน ส่วนตัวผู้มีอายุเฉลี่ยประมาณ 13 วัน ตัวเต็มวัยชนิดปีกสั้นบินไม่ได้จะอาศัยอยู่ในแปลงดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้น
ข้าวและขยายพันธุ์ ส่วนพวกปีกยาวสามารถบินอพยพออกจากแปลงนาได้
|
วงจรชีวิตของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสามารถทำลายต้นข้าวในทุกระยะของการเจริญเติบโต เช่นระยะกล้า ระยะแตกกอ ระยะออกรวง
ตั้งแต่ตัวอ่อนจนถึงตัวเต็มวัยสามารถทำลายต้นข้าวได้อย่างรุนแรง โดยการดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นข้าว ทำให้ต้นข้าวมีอาการใบเหลือง
เหี่ยวแล้ว แห้งเป็นสีน้ำตาลแก่คล้ายน้ำร้อนลวกที่เรียกว่า hopper burn ต้นกล้า และต้นข้าวที่กำลังแตกกอที่ถูกทำลายจะแห้งตาย ต้นข้าวที่ออกรวงแล้วจะมีเมล็ดไม่สมบูรณ์และมีน้ำหนักเบา
ล้มง่ายประชากรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลพบมากในพันธุ์ข้าวที่ต้นเตี้ยและแตกกอมาก เนื่องจากมีจำนวนต้นข้าวให้แมลงดูดกินมาก และจะระบาดรุนแรงในระหว่างเดือนที่มีอากาศร้อ ความชื้นสูงเช่นเดือนพฤษภาคม มิถุนายน และกรกฎาคม นอกจาการทำลายข้าวโดยตรงแล้ว แมลงชนิดนี้ยังเป็นพาหะนำโรคใบหงิก (ragged stunt) และโรคเขียวเตี้ย (grassy stunt) มาสู่ต้นข้าว เป็นสาเหตุทำให้ผลผลิตข้าวลดลงอย่างมาก
|
|
|
|
แนวทางการป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล |
1. ปลูกข้าวพันธุ์ต้านทาน เช่น กข 6 กข 31 กข 41 กข 47 สุพรรณบุรี 2 สุพรรณบุรี 3 สุพรรณบุรี 90 พิษณุโลก 2 และ
ไม่ควรปลูกพันธุ์เดียวติดต่อกันเกิน 4 ฤดูปลูก ควรปลูกสลับกันระหว่างพันธุ์ต้านทานสูง กับพันธู์ต้านทานสูง กับพันธุ์ทนทานหรือพันธุ์
อ่อนแอปานกลางโดยพิจารณาอายุเก็บเกี่ยวให้ใกล้เคียงกันเพื่อลดความเสียหายเมื่อเกิดการระบาดรุนแรง
2. สำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำองค์ประกอบต่างๆ ของระบบนิเวศในแปลงนานำมาวิเคราะห์ ตัดสินใจด้วยตนเอง
ในการจัดการแปลงจากสถานการณ์จริง
3. ในแหล่งที่มีการระบาดและควบคุมระดับน้ำในนาได้หลังปักดำหรือหว่าน 2 - 3 สัปดาห์จนถึงระยะตั้งท้องควบคุมน้ำใน
แปลงนาให้พอดินเปียกหรือมีน้ำเรี่ยผิวดินนาน 7-10 วัน แล้วปล่อยขังทิ้งไว้ให้แห้งเองสลับกันไป จะช่วยลดการระบาดได้
4. ใช้เชื้อราบิวเวอเรีย (เชื้อสด) อัตรา 1 กก. (2 ถุง)ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นในบริเวณที่พบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและควร
ฉีดพ่นในเวลาเย็น |
สารเคมีที่แนะนำให้ใช้ในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล |
1. ข้าวระยะกล้าถึงแตกกอ (อายุ 30 - 45 วัน)
- บูโพรเฟซิน 25 % WP 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- บูโพรเฟซิน 10 % WP 25 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
- บูโพรเฟซิน 5 % WP + ไอโซโปรคาร์บ 20 % WP 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
2. ข้าวระยะแตกกอเต็มที่
- อีโทเฟนพร็อกซ์ 10 % EC 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- อีโทเฟนพร็อกซ์ 5 % EC 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- คาร์โบซัลเฟน 20 % EC 110 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ฟีโนบูคาร์บ 50 % EC 60 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไฮโซโปรคาร์บ 50 % WP 60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
3. ข้าวระยะตั้งท้องถึงออกรวง
- ไดโนทีฟูแรน 10 % WP 15 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- ไทอะมิโทแซม 25 % WG 2 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- โคลไทอะนิดิน 16 % 6-9 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร
- อิมิดาโคลพริด 10 % SL 15 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
- อีทีโพรล 10 % SC 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร |
สารเคมีที่ไม่แนะนำให้ใช้ในนาข้าว |
สารเคมีบางชนิดที่ไม่แนะนำให้ใช้ในนาข้าว เนื่องจากจะทำให้เพลี้ยกระโดดฯ ระบาดเพิ่มขึ้นเป็นสารกลุ่มไพรีทรอย์ด์
สังเคราะห์ ได้แก่
1. แอลฟาไซเพอร์เมทริน 10 % EC ชนิดพ่นน้ำ 2. ไซแฮโลทริน แอล 5 % EC ชนิดพ่นน้ำ 3. ไซเพอร์เมทริน 15 % EC 25 % EC ชนิดพ่นน้ำ |
|
|
ข้อมูล : กลุ่มพยากรณ์และเตือนการระบาดศัตรูพืช
|