|
โรค แมลง ศัตรูพืชและการเข้าทำลาย... ถั่วลิสงในฤดูแล้ง |
|
เผยแพร่ : วันที่ 28 มีนาคม 2559 |
|
|
โรคยอดไหม้ : เกิดจากเชื้อไวรัสโดยมีเพลี้ยไฟเป็นแมลงพาหะ |
|
|
|
|
|
|
ลักษณะอาการ |
อาการภายหลังจากการเข้าทำลายของเชื้อในระยะ 2 สัปดาห์แรก ใบจะเกิดจุดสีซีดหรือเป็นปื้นสีน้ำตาลบนใบที่เชื้อเข้าทำลาย จากนั้นจะเกิดอาการเส้นใบซีด หรือจุดกระสีซีดบนใบยอด ก้านใบ และกิ่งที่โค้งงอ ถ้าเป็นโรคในระยะกล้าถั่วลิสงจะตาย หรือแคระแกร็นไม่ติดฝัก และถ้าเป็นในระยะที่ต้นโตจะทำให้การติดฝักลดน้อยลง
|
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. การควบคุมโดยชีววิธีในสภาพธรรมชาติ เพลี้ยไฟจะถูกควบคุมประชากรโดยศัตรูธรรมชาติหลายชนิด เช่น แมงมุม
ตัวอ่อนของแมลงวันดอกไม้ ด้วงเต่าแตง มวนดอกไม้ และแตนเบียนไตรโคแกรมม่า
3. ควบคุมเพลี้ยไฟโดยการใช้สารเคมี ได้แก่ สารอัลดีคาร์บ (aldecarb) และคาร์โบฟูแรน (carbofuran) ซึ่งใช้ในรูปเม็ด
ใส่ดิน (granular) หรือคาร์โบซัลแฟน (carbosulfan) , ฟอร์เมโธเอท (formethoate),เมโธมิล (methomyl), และโมโนโครโตฟอส (monocrotophos) ซึ่งใช้ฉีดพ่นทางใบ |
|
หมายเหตุ |
1. ข้อควรพิจารณาในการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมโรคยอดไหม้ ก็คือจะต้องใช้ก่อนที่ดรคจะปรากฎให้เห็น โดยอาจดูจาก
ร่องรอยการทำลายของเพลี้ยไฟ การจัดการโรคโดยทั่วไปมักจะกระทำในลักษระป้องกัน คือหยอดอัลดีคาร์บหรือคาร์โบฟูแรนรองก้นหลุม
ก่อนปลูก หลังจากนั้น 3 อาทิตย์ จึงฉีดพ่นด้วยคาร์โบซัลแฟนหรือโมโนโครโตฟอสทุก 7 หรือ 14 วัน สำหรับอัต ราสารเคมีควรใช้อัตราสูง
เนื่องจากได้มีการทดลองใช้สารในอัตราต่ำแล้วพบว่ากลับทำให้โรคระบาดมากกว่าในแปลงที่ไม่ได้ใช้สารเคมี
2. การควบคุมการฉีดพ่นสารเคมีให้อยู่ในระดับเท่าที่จำเป็น จะช่วยลดอันตรายที่จะเกิดกับศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยไฟนั้น
การเลือกใช้สารเคมีในรูปใส่ลงดิน
(granular form) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดอันตรายกับแมลงที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่บนส่วนเหนือดิน |
|
โรคโคนเน่าขาด : เกิดจากเชื้อรา |
|
|
|
|
ลักษณะอาการ |
ต้นเหี่ยวเหลือง ยุบตัว โคนต้นเป็นแผลสีน้ำตาล พบกลุ่มสปอร์สีดำปกคลุมบริเวณแผล เมื่อถอนขึ้นมาส่วนลำต้นจะขาดจากส่วนราก พบโรคทุกแหล่งและทุกฤดูปลูก พบระบาดรุนแรงในระยะกล้า อายุ 7 - 28 วัน เมื่อฝนทิ้งช่วงประมาณ 7 วัน แล้วมีฝนตก เชื้อราติดไปกับเมล็ดและอาศัยอยู่ในดิน |
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. ใช้สารป้องกันกำจัดโรคโคนเน่าขาดของถั่วลิสง ดังนี้
- สารไอโปรไดโอน (50% WP) 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นและหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
- คาร์เบนดาซิม (50% WP) 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น และหยุดการใช้สารก่อนการเก็บเกี่ยว 14 วัน
3. หากต้องการปลูกถั่วรอบใหม่ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในพื้นที่เดิมเป็นเวลานานติดต่อกันหลายปี หรือเปลี่ยนพืชปลูกที่
ไม่ใช่พืชตระกูลถั่ว เช่น ข้าวโพด หรือแตง สลับบ้างเพื่อตัดวงจรการเกิดโรค
|
|
หนอนชอนใบถั่วลิสง |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
หนอนผีเสื้อเมื่อฟักออกจากไข่จะชอนเข้าไปกัดกินเนื้อใบ เหลือไว้แต่ผิวใบด้านบนและด้านล่าง ต่อมาใบจะแห้งเป็นสีขาว เมื่อหนอนโตมากขึ้น จะออกมาพับใบถั่ว หรือชักใยดึงใบถั่วมารวมกัน แล้วตัวหนอนจะอาศัยกินอยู่ในนั้นจนโตเต็มที่ จนเข้าเข้าดักแด้ ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้ต้นถั่วแคระแกร็น ใบร่วงหล่น ผลผลิตลดลงมากกว่า 50 % |
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. หากพบระบาดในระยะเริ่มแรกใช้ศัตรูธรรมชาติควบคุม เช่น แตนเบียนหนอนชอนใบหรือใช้สารสกัดจากสะเดา
3. สำรวจพบความเสียหายมากกว่าร้อยละ 30 ให้ใช้สารเคมีคาร์โบฟูแรน (Furadan 3% G) อัตรา 6 กก.ต่อไร่ ใส่ดิน
พร้อมปลูกหรือพ่นด้วย ไตรอะโซฟอส 0.1% (Hostathion 40% EC) ตามอัตราแนะนำ |
|
เพลี้ยอ่อน |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
เป็นแมลงปากดูดขนาดเล็ก ทำลายพืชโดยดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อน ใบอ่อน ดอก ถ้าเข้าทำลายในขณะที่ต้นพืชยังเล็ก จะทำให้ต้นแคระแกรน ใบอ่อน ยอดอ่อนหงิกงอ แต่ถ้าต้นถั่วอยู่ในระยะออกดอก จะทำให้ดอกร่วง |
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. หากพบระบาดในระยะเริ่มแรกให้ใช้แมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมการระบาด เช่น ด้วงเต่าตัวห้ำ แมลงช้างปีกใส และ
และแตนเบียนดักแด้
3. สำรวจหาดพบเพลี้ยอ่อนในระยะออกดอก หรือติดฝักอ่อนมากกว่า 10 ตัวต่อใบ ให้พ่นด้วย ไตรอะโซฟอส 0.1%
(Hostathion 40% EC) จำนวน 1 - 2 ครั้ง โดยพ่นเป็นจุด ๆ ที่พบเพลี้ยอ่อนลงทำลายทุก 10 - 15 วัน |
|
หมายเหตุ |
การควบคุมเพลี้ยอ่อนควรทำตั้งแต่เริ่มปลูกโดยการใช้สารเคมีตามคำแนะนำ เช่น คาร์โบฟูแรน 3% G (Furadan 3% G) อัตรา 4 กก.ต่อไร่ หรือ โรยในแถวปลูกหลังจากถั่วงอกได้ 20 - 25 วัน จะสามารถป้องกันเพลี้ยอ่อนและแมลงศัตรูชนิดอื่นในระยะต้นอ่อนได้เป็นอย่างดี |
|
เพลี้ยไฟ |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ดูดกินน้ำเลี้ยงตามใบ ตาดอก ดอก และยอดอ่อน ทำให้ใบหงิกงอ บิดเบี้ยว ใบแห้ง กรอบ ลักษณะเหมือนมีไขติดอยู่เส้นกลางใบเป็นสีน้ำตาล ถ้าระบาดรุนแรงจะทำลายช่อดอกทำให้ดอกร่วง ถ้าระบาดช่วงแล้งทำให้ยอดไหม้และตาย เป็นพาหะนำโรคยอดไหม้ และโรคใบจุดเหลือง
|
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. หากพบระบาดในระยะเริ่มแรก ใช้เชื้อราบิวเวอเรียฉีดพ่นบริเวณที่พบเพลี้ยไฟ
3. ใช้สารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืช ได้แก่ อัลดิคาร์บ คาร์โบฟูแรนในรูปเม็ดใส่ลงดิน หรือคาร์โบซัลแฟน ฟอร์เมโธเอท
และเมโธมิล ฉีดพ่นทางใบ อัตราตามคำแนะนำ |
|
เพลี้ยจั๊กจั่น |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้แคระแกรน อาจทำให้พืชตายทั้งแปลงได้ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยอาศัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบพืช ถ้าใบพืชยังอ่อนอยู่จะทำให้หดหงิกงอเล็กลง ถ้าใบโตจะทำให้ขอบใบเป็นสีเหลือง (hopper burn) ถ้าระบาดมากขอบใบจะไหม้ห่อขึ้นด้านบนในที่สุดใบจะแห้งตาย และร่วงหล่นไป |
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์การระบาดศัตรูพืช และสำรวจแปลงสม่ำเสมอ
2. หากพบการระบาดในระยะเริ่มแรก ใช้แมลงศัตรูธรรมชาติควบคุมการระบาด เช่น แมลงช้างปีกใส ด้วงเต่าตัวห้ำหรือ
ใช้สารชีวภัณฑ์ในการป้องกันกำจัด เช่น ใช้บิวเวอเรียฉีดพ่น บริเวณที่พบเพลี้ยจั๊กจั่น
3. พบเพลี้ยจักจั่น 5 - 6 ตัวต่อใบควรพ่นด้วยคาร์โบซัลแฟน 0.06% (Posse 20% EC) หรือคาร์บาริล 0.2% (Sevvin
85% WP) หรือ โอมีโธเอท 0.05% (Folimat 50% SL) ตามอัตราแนะนำ ประมาณ 2 - 3 ครั้ง ทุก 7 - 10 วัน |
|
|
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติ่มได้ที่ : สำนักงานเกษตรจังหวัด สำนักงานเกษตรอำเภอ และศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช
ใกล้บ้านท่าน
|