|
โรค แมลง ศัตรูพืชและการเข้าทำลาย... พืชผักในฤดูแล้ง |
|
เผยแพร่ : วันที่ 11 เมษายน 2559 |
|
|
โรคผักที่เกิดจากเชื้อไวรัส |
|
|
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ในช่วงแล้งพืชผักมักเกิดโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีแมลงปากดูดเป็นพาหะ ซึ่งลักษณะอาการของโรคแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดไวรัส และพืชอาศัย ลักษณะอาการที่มักพบโดยทั่วไป
1. การเจริญเติบโตลดลง และพืชอ่อนแอ ส่งผลให้พืชผักแคระแกร็น ดอกและผลขนาดเล็กลง
2. เปลี่ยนแปลงสี อาการที่เห็นชัดเจน เช่น อาการด่าง เขียวสลับเหลือง หรือเขียวเข้มสลับเขียวอ่อน นอกจากนี้อาจ
พบอาการที่พืชเปลี่ยนเป็นสีเหลือง โดยเริ่มจากใบอ่อน เส้นใบเหลือง หรือใส ต่อมาใบอื่น ๆ เหลือง
3. อาการเนื้อเยื่อตายอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเกิดเป็นแผลรูปร่างไม่แน่นอนบางครั้งเป็นวงกลม
หรือวงกลมซ้อน
4. รูปร่างผิดปกติ เป็นผลมาจากเซลล์เจริญเติบโตมาก หรือน้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดได้กับทุกส่วนของพืช ทั้ง ใบ ดอก ผล และเมล็ด เช่น ใบม้วน ใบหงิก ใบบิดเบี้ยว ใบย่น ข้อสั้น แตกยอดมาก |
|
การควบคุมและป้องกัน |
1. เขตกรรมที่เหมาะสม
- ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากโรค เนื่องจากเชื้อไวรัสหลายชนิดสามารถติดไปกับเมล็ดพันธุ์ หรือส่วนขยายพันธุ์
- ทำลายต้นที่เป็นโรค โดยการถอนและเผาทันทีที่พบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไปยังต้นอื่น ๆ
2. กำจัดแมลงพาหะ โดยใช้สารธรรมชาติ ชีวภัณฑ์ หรือสารเคมี
- สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราบิวเวอเรีย โดยใช้เชื้อรา 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร กรองเอาเฉพาะน้ำไปฉีดพ่นในช่วงเย็น ให้
ถูกตัวแมลง หรือบริเวณที่แมลงอาศัยให้มากที่สุด
- สารเคมี เป็นวิธีหนึ่งในการควบคุมศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน แต่ก็เป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น สารเคมีที่
แนะนำได้แก่ ฟิโปรนิล อิมิดาโคลพริด คาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน อัตราตามคำแนะนำ |
|
เพลี้ยไฟ (แมลงประเภทปากดูด) |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ทำลายพืชผักหลายชนิด เช่น ตระกูลพริกและมะเขือ แตง หอม ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอด ใบอ่อน ตาดอก ดอก ทำให้เกิดรอยด้าน หรือรอยแผลสีน้ำตาล ยอด ดอก และตาอ่อน ไม่เจริญเติบโต สำหรับพริกที่ถูกเพลี้ยไฟทำลาย ขอบใบหงิกม้วนงอขึ้นข้างบน ถ้าทำลายดอกทำให้ดอกร่วง หากระบาดในช่วงพริกติดผล ผลบิดงอเสียรูปทรง พบการทำลายเกือบตลอดทั้งปี แต่มักระบาดมากในช่วงหน้าแล้ง ช่วงที่อากาศแห้งแล้ง หรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน |
|
เพลี้ยอ่อน (แมลงประเภทปากดูด) |
|
|
|
|
|
ลักษณะการทำลาย |
ทำลายพืชผักหลายชนิด เช่น ตระกูลพริกและมะเขือ แตง ถั่ว กะหล่ำ โดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ยอดอ่อน ดอก และฝัก ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำเชื้อโรคไวรัส หลายชนิด เช่น โรคใบด่างพริกและมะเขือ แตง ซึ่งพบระบาดมากในช่วงอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง |
|
แมลงหวีขาว (แมลงประเภทปากดูด) |
|
|
|
|
ลักษณะการทำลาย |
|
ทำลายพืชผักหลายชนิด เช่น ตระกูลพริกและมะเขือ แตง ถั่ว กะหล่ำ กระเจี๊ยบเขียว กระเพรา แมงลัก โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ใบหงิกงอและเหี่ยวแห้ง และต้นแคระแกร็น นอกจากนี้ยังเป็นพาหะนำเชื้อโรคหงิกเหลืองของพริก-มะเขือ พบระบาดมากในฤดูแล้ง |
|
การควบคุมและป้องกันแมลงปากดูด |
1. วิธีกล ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง 80 กับดักต่อไร่ เพื่อดักจับตัวเต็มวัย
2. สารธรรมชาติ เช่น สารสะเดา อัตราเมล็ดสะเดาบด 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอากากออกนำน้ำสะเดา
ไปฉีดพ่นแมลง
3. สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราบิวเวอเรีย โดยใช้เชื้อรา 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร กรองเอาเฉพาะน้ำไปฉีดพ่นในช่วงเย็น ให้ถูกตัวแมลง หรือบริเวณที่แมลงอาศัยให้มากที่สุด
4. สารเคมี เป็นวิธีหนึ่งในการควบคุมศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน แต่ก็เป็นวิธีสุดท้ายที่จะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น สารเคมีที่
แนะนำได้แก่ ฟิโปรนิล อิมิดาโคลพริด คาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน อัตราตามคำแนะนำ
|
|
หนอนใยผัก (แมลงประเภทปากกัด) |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้่าทำลาย |
ทำลายผักตระกูลกะหล่ำ มักพบระบาดในแหล่งปลูกผัก สร้างความต้านทานต่อสารเคมีได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตสั้น และมักรอดพ้นจากสารเคมีโดยตัวหนอนสร้างใยทิ้งตัวลงดิน หนอนใยผักทำลายผักโดยกัดกินผิวใบ ทำให้เป็นใบ เป็นรูพรุน |
|
หนอนกระทู้ผัก (แมลงประเภทปากกัด) |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ทำลายพืชผักแทบทุกชนิด เช่น ตระกูลกะหล่ำ พริก-มะเขือ ถั่ว แตง กระเจี๊ยบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง ตัวหนอนที่เพิ่งฟักออกจากไข่จะอยู่รวมกัน เป็นกลุ่ม แทะกินใบจนเป็นรูพรุน นอกจากกัดกินส่วนใบแล้ว แล้วยังทำลายส่วนดอก ฝัก และผล |
|
หนอนกระทู้หอม (แมลงประเภทปากกัด) |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
ทำลายพืชผักหลายชนิด เช่น พืชตระกูลกะหล่ำ พริก-มะเขือ ถั่ว หนอนระยะแรก ๆ อยู่รวมกัน เป็นกลุ่ม แทะกินผิวใบ เป็นแมลงที่สำคัญต่อการปลูกหอมมากที่สุด โดยหนอนที่เพิ่งฟักจะเริ่มกินใบหอม และเข้าไปอาศัยในหลอดหอม จนเหลือผิวใบบาง ๆ สีขาว ทำให้ยอดเหี่ยวแห้ง มักพบการระบาดรุนแรงในแหล่งที่มีการปลูกผักอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะระบาดรุนแรงในฤดูร้อน |
|
หนอนเจาะฝักถั่ว (แมลงประเภทปากกัด) |
|
|
|
|
ลักษณะการเข้าทำลาย |
หนอนที่ฟักออกจากไข่ เจาะเข้าไปกัดกินภายในดอกอ่อน และเกสร ทำให้ดอกร่วง เมื่อหนอนโตขึ้นจะเจาะเข้าไปกัดกินภายในฝัก เมล็ดอ่อน ทำให้ฝักและเมล็ดลีบ มักพบระบาดรุนแรงในช่วงฤดูแล้ง |
|
|
การควบคุมและป้องกัน (แมลงประเภทปากกัด) |
1. วิธีกล โดยหมั่นสำรวจแปลงผัก หากพบกลุ่มไข่ หนอน ดักแด้ หรือส่วนของผักที่ถูกทำลาย เช่น ยอด ผล เก็บทำลาย
2. สารธรรมชาติ เช่น สารสะเดา พ่นสารสะเดา อัตรา เมล็ดสะเดาบด 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอาเฉพาะน้ำไปฉีดพ่นฉีดพ่น
3. สารชีวภัณฑ์ เช่น แมลงศัตรูธรรมชาติ เชื้อรากำจัดแมลง เชื้อบีที เชื้อไวรัสเอ็น พี วี
- แมลงศัตรูธรรมชาติ เช่น มวนเพชฌฆาต มวนพิฆาต แมลงหางหนีบ เมื่อเริ่มพบหนอน ปล่อยอัตรา 100 ตัวต่อไร่ และหากพบหนอนปริมาณมากปล่อย 2,000 ตัวต่อไร่
- เชื้อรากำจัดแมลง เช่น เชื้อราบิวเวอเรีย โดยใช้เชื้อรา 1 กก.ต่อน้ำ 20 ลิตร กรองเอาเฉพาะน้ำไปฉีดพ่นในช่วงเย็น ให้ถูกตัวหนอน หรือบริเวณที่หนอนอาศัยอยู่ให้มากที่สุด
- เชื้อบีที (Bacillus thuringiensis) เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ใช้ในการกำจัดหนอนหนอนผีเสื้อและหนอนด้วงขึ้นอยู่กับ
สายพันธุ์ใช้ควบคุมหนอนวัยแรก ๆ มีประสิทธิภาพกว่าใช้กับหนอนโต อัตราการใช้ตามคำแนะนำในฉลาก
- เชื้อไวรัส เอ็นพีวี เป็นเชื้อที่ใช้ในการกำจัดหนอนซึ่งมีความเฉพาะเจาะจงในการทำลายหนอนศัตรูพืชในประเทศ
มีการผลิตและจำหน่ายเชื้อไวรัส เอ็น พี วี 3 ชนิด ได้แก่ ไวรัส เอ็น พี วี สำหรับหนอนกระทู้ผัก ไวรัส เอ็น พี วี สำหรับหนอนกระทู้หอม และเชื้อไวรัส เอ็น พี วี สำหรับหนอนเจาะสมอฝ้าย ก่อนใช้จึงต้องสำรวจแปลง เพื่อเลือกใช้ชนิดไวรัสได้อย่างถูกต้อง |
|
|
|
|